คาร์ดิโอ VS เวทเทรนนิ่ง

Share : facebook_share google_share
line_share
twitter_share messenger_share

คาร์ดิโอ VS เวทเทรนนิ่ง

คาร์ดิโอ VS เวทเทรนนิ่ง



คาร์ดิโอ VS เวทเทรนนิ่ง

 

ใครที่เพิ่งหันมาออกกำลังกาย  อาจจะเคยได้ยินคำว่า  คาร์ดิโอ้  กับ  เวทเทรนนิ่ง  กันมาบ้าง  แต่ก็คงจะสงสัยใช่ไหมล่ะ  ว่า 2 อย่างนี้คืออะไร  มีความแตกต่างกันยังไง  แล้วต้องเลือกออกกำลังกายแบบไหนดี  มาดูกันดีกว่าว่ามันคืออะไร

 

คาร์ดิโอ  คืออะไร

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ  เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อของหัวใจ  และปอดให้แข็งแรง  ช่วยลำเลียงออกซิเจนเข้าสู่หัวใจ  และปอดได้ดียิ่งขึ้น  และยังช่วยกระตุ้นอัตราการเต้นของหัวใจ ปรับระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ  และยังเผาผลาญพลังงานจากการทานอาหารส่วนเกินได้อีกด้วย

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ  เหมาะกับผู้ที่มีความกังวลในเรื่องของสุขภาพหัวใจ  หลอดเลือด  ความดันโลหิต ปอด รวมไปถึงคนที่อยากลดน้ำหยัก  ลดความอ้วน  และคนที่สนใจดูแลสุขภาพโดยรวม  อยากมีภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรง  ชะลอความเสื่อมของส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย  อยากให้ตัวเองไม่เหนื่อยง่าย  มีแรงเดินวิ่ง  หรือขึ้นบันได เป็นต้น

ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ  มีอะไรบ้าง

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ  คือ  แบบที่มีแรงกระแรกสูง และแรงกระแทกต่ำ

การออกกำลังกายคาร์ดิโอในแบบแรงกระแทกสูง  เหมาะสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องของกระดูก หรือน้ำหนักตัวที่มากเกินไป  เช่น  วิ่ง  กระโดดเชือก  เต้นแอโรบิก  หรือออกกำลังกายด้วยท่าทางพื้นฐานหนัก ๆ เช่น T25  เต้นซุมบ้า

การออกกำลังกายคาร์ดิโอในแบบแรงกระแทกต่ำ  เหมาะสำหรับผู้ที่มีความกังวลในปัญหากระดูก  เช่น  กระดูกข้อเท้า  กระดูกหัวเข่า  หรือมีน้ำหนักตัวมากเกินไป  จึงไม่สามารถรองรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากการใช้แรงขาลงกับพื้นหนัก ๆ  การออกกำลังกายก็เช่น  ขี่จักรยาน  ว่ายน้ำ  เดิน  พายเรือ  ออกกำลังกายบนเครื่องเดินวงรี (Elliptical trainer)  ออกกำลังกายด้วยเครื่องปั่นจักรยานท่อนบน (Upper Body Ergometer)  ออกกำลังกายในน้ำ

 

ระยะเวลาในการเล่นคาร์ดิโอ

ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบไหน  ก็ควรออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อย 30 นาที  และควรออกอย่างต่อเนื่อง  มีการพักระหว่างการออกประมาณ 3 – 5 นาที ควรเลือกระดับความเร็ว  และความยากในการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับตัวเอง  ไม่มากจนเกินไป  เน้นออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องให้นาน  มากกว่าที่จะเน้นเรื่องของการทำเวลาให้เร็วแต่ได้ไม่นาน  เช่น  ความเร็วในการวิ่ง  ความชันในการปั่นจักรยาน  หรือความยากของท่าแอโรบิกที่ไม่ต้องมาก  แต่ขอให้เน้นการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องมากกว่า  เมื่อร่างกายปรับคุ้นชินกับระดับเดิม ๆ ได้แล้ว ให้ค่อย ๆ ปรับท่าให้ยากขึ้น  หรือความเร็วให้มากขึ้นทีละเล็กละน้อย

 

เวทเทรนนิ่ง  คืออะไร

เวทเทรนนิ่ง  เป็นการออกกำลังกายฝึกกล้ามเนื้อ  ที่อาศัยแรงของน้ำหนักจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเพิ่มแรงต้านทาน (หรืออาจจะเป็นน้ำหนักของร่างกายตัวเอง)  เมื่อเพิ่มแรงต้านทานให้กับกล้ามเนื้อเป็นประจำ  จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการปรับตัว  และแข็งแรงขึ้น  สามารถต้านทานกับแรง  หรือน้ำหนักต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น  การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง  เหมาะกับคนที่อยากมีรูปร่างที่กระชับเข้ารูป  และได้สัดส่วนมากยิ่งขึ้น  รวมทั้งผู้ชายที่อยากเพิ่มกล้ามเนื้อ  หรือสร้างซิกซ์แพ็คบนหน้าท้อง  นอกจากเรื่องของรูปร่างแล้ว  การเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ  ยังมีความสำคัญในการเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย  สามารถออกแรงได้มากขึ้น  เช่น  ยกของหนักได้  ออกแรงเตะชกต่อยได้แรงขึ้น  เป็นต้น  นอกจากนี้ยังเป็นผลดีต่อร่างกายโดยรวมเมื่ออายุมากขึ้น มวลของกล้ามเนื้อจะค่อย ๆ ลดลง  ดังนั้นหากรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเอาไว้เหมือนเดิม  นอกจากรูปร่างจะกระชับเป็นสัดส่วนได้เหมือนเดิมแล้ว  ยังช่วยลดไขมันตามอวัยวะต่าง ๆ ได้อย่างเห็นผลอีกด้วย

 

การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง  มีอะไรบ้าง

การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง  จำเป็นต้องมีตัวช่วยที่เพิ่มแรงต้านทานให้กับกล้ามเนื้อ  ได้แก่  ดัมเบล ตุ้มน้ำหนัก  อุปกรณ์ยกน้ำหนักต่าง ๆ ในฟิตเนส  หรืออาจจะเป็นการออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนักของตัวเองเป็นแรงต้านทานเอง  เช่น  บาร์โหนตัว  เป็นต้น  สหรับคนที่เริ่มต้นออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งเป็นครั้งแรก  ควรได้รับคำแนะนำจากเทรนเนอร์  หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน  เพราะหากใช้น้ำหนัก  หรือท่าทางในการออกกำลังกายผิดวิธี  อาจก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บ  กล้ามเนื้อฉีกขาด  หรือถึงขั้นกระดูกหักได้  หรืออาจจะค้นหาคลิปวิดีโอในอินเตอร์เน็ต  แล้วออกท่าทางตามในคลิปอย่างเคร่งครัดได้เช่นกัน

 

ระยะเวลาในการเล่นเวทเทรนนิ่ง

น้ำหนักที่ใช้ยกในเบื้องต้น  ควรเริ่มจากน้ำหนักเบา ๆ ก่อน  เน้นน้ำหนักที่ไม่หนักมาก  แต่ยกได้หลายครั้ง ดีกว่าการเลือกน้ำหนักที่หนักมาก  แต่ยกได้ไม่นาน  ฝึกในน้ำหนักที่คิดว่าพอทนไหวไปราว ๆ 3 - 4 สัปดาห์ แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักมากขึ้น  หรือเพิ่มความยากของท่าที่ใช้ออกกำลังกายมากขึ้นทีละเล็กละน้อย  ที่สำคัญคือการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องราว 30 นาทีขึ้นไป  หรือพักในแต่ละครั้งไม่เกิน 5 นาที

 

อ่านบทความเพิ่มเติม

อาการบาดเจ็บ ขณะออกกำลังกาย

ลดความอ้วนด้วย cardio หรือ body weight



บทความที่น่าสนใจ

ออกกำลังกายเลี่ยงฝุ่นที่ FIT24 ฟิตเนส 24 ชั่วโมง
ปั่นจักรยานออกกำลังกายลดต้นขาอย่างไร ให้เรียวสวยดังใจต้องการ